ขอโทษ...ครับ แม่
ผู้เข้าชมรวม
315
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
ขอโทษครับ ... แม่
สมัยที่ผมพัก ในหอพักของสถาบันฯ บางครั้งไอ้โจ้ ก็ใช้จักรยานยนต์ประจำตัวขี่มาเรียน ในยุคโน้น รถจักรยานยนต์ของรุ่นหนึ่ง มีราคาค่อนข้างแพง แต่ด้วยฐานะทางบ้านของไอ้โจ้ ซึ่งอยู่ในระดับคนรวย ครอบครัวของเขาจึงไม่เดือดร้อนอะไร ช่วงที่เราพักหอพักกัน สิ่งที่มันดูเป็นเรื่องธรรมดา ของพวกเรามากๆ คือการสูบบุหรี่ การกินเหล้า เมากัญชา ผม เริ่มหัดสูบบุหรี่แบบจริงๆ จังๆ ก็ตอนพักที่หอพักของสถาบัน เริ่มสูบกัญชาเป็น เมื่อพี่ๆ เรียก ให้มาทดลอง (พี้ ) สูบ เริ่มกินเหล้าเป็นและเก่ง... ก็ตอนที่เครียดๆ กับปัญหาทางบ้านที่ไม่ได้ส่งเงินมาให้ใช้ หากจะว่ากันตามความจริง เมื่อผมได้ลองเทียบเคียง กับหมู่เพื่อนๆ พี่ๆ เรื่องการกินเหล้า การสูบบุหรี่ พี้กัญชา ผมคิดว่าผมคงน่าจะอยู่ในระดับล่าง หรือหางแถว คือ สูบไม่ค่อยบ่อยนัก อาจจะมีบ้าง.. บางโอกาสซึ่งขึ้นอยู่กับบรรยากาศ สิ่งแวดล้อม ดังกรณีที่ผมไปหารุ่นพี่ที่หอพักหอ 2 ในขณะที่พวกเขากำลังตั้งก๊วนพี้กัญชากันอยู่ เขาก็จะชวนให้ผมลองพี้ สักบ้องสองบ้อง เพื่อมิตรภาพ
“มาโว้ย ไอ้น้อง ล่อสักบ้องนึง ว่ะ” รุ่นพี่เรียกเข้าไปหา ด้วยภาษากันเอง
ในสังคมสมัยที่ผมเรียน การอยู่ในหอพัก ซึ่งพวกเรามีระบบโซตัส (SOTUS)* ที่ยึดในกรอบประเพณี ที่ปลูกฝังให้มีน้ำใจ มีความรัก มีความสามัคคี ของพี่-น้องร่วมสถาบัน ผมจึงไม่อยากให้มิตรภาพของพี่และน้องต้องมลายลง
“ผมไม่ค่อยถนัด และไม่เคยพี้ นะ..พี่” ผมพูดกึ่งยอมรับ กึ่งปฎิเสธ
“นี่ ..มึงดู...รุ่นพี่ จะทำเป็นตัวอย่างให้ดู อ้าว..นี่ ต้องทำอย่างนี้” พี่แกะพูดพร้อมสาธิต เขาใช้แรง (สูบ) สูดเอาควัน จากปากกระบอกไม้ไผ่ ..แล้วก็พ่นควันฉุยๆ ออกจากปาก ควันกัญชาลอยละล่องคลุ้งไปทั่วห้องพัก กลิ่นกัญชาหอมอบอวลไปทั่ว ขนาดผมยังไม่ทันได้พี้เลยสักบ้องก็เจียนเมา
ทั้งๆที่ ..เวลานั้น ข่าวของเรื่องน้ำพุ ลูกชายของนักเขียนชื่อดัง (ขออนุญาตเอ่ยนาม คุณสุวรรณี สุคนธา) กำลังเป็นข่าวที่ดังมาก เกี่ยวกับการเสียชีวิตของลูกชายของเธอ จากเรื่องยาเสพติด แต่..พวกเราก็มิได้ตระหนักและหาได้เกรงกลัว..ไม่ น้ำพุ เสียชีวิตลง เนื่องจากปัญหายาเสพติด เขามีวัยเดียวกับพวกเรา คือ อายุ 17-18 ปี หากจะบอกว่าในยุคนั้นไอ้หนุ่มนัยน์ตาหวานในรุ่นผม มีไม่ต่ำกว่า 50 คน คงไม่เกินจริง เช่น ไอ้เดช ไอ้น้อย ไอ้ม่อย ไอ้วิทย์ ไอ้พัง ไอ้ป๊อก ไอ้ต่อ ไอ้แค๊ป ฯลฯ ในห้องที่ผมนอน หอพักห้อง 102 คนที่นิยมสายเขียวมี ไอ้โจ้ ไอ้อ๊อด ไอ้อู๊ด ไอ้ชัย ไอ้ยุทธ ไอ้แค๊ป ส่วนผมนานๆ ครั้ง (จึงตาหวาน) เพื่อนๆๆ ที่ผมเอ่ยนามมา ที่เสียชีวิตไปแล้วมีห้าหกคน โดยเฉพาะไอ้โจ้ กับไอ้ลิต ที่ผมเคยพักร่วมกันมาตลอดการเรียน และแยกย้ายกันไปทำงาน ไอ้ลิต เสียชีวิต เพราะป่วย ส่วนไอ้โจ้ เสียชีวิตจากยาเสพติด ซึ่งผมกำลังจะกล่าวถึง
เมื่อผมคุ้นเคยกับ พี่ใหญ่ พี่ชัย พี่เบิร์ต พี่หวัด พี่ชาย พี่แพะ พี่เงาะ พี่พล (ทุกพล) พี่ตุ๊ ฯลฯ สิงห์อมควันประจำหอ พูดก็..พูด..ว่าสิ่งเหล่านี้ มันก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนเลย หลังพี้เสร็จ ก็นั่งคุยกันไป หัวเราะกันไป ..ซึ่งมันต่างกับกลุ่มที่นิยมน้ำเหล้า พอกินกันแล้ว ก็เกิดเรื่องกระทบกระทั่ง ขัดแย้ง ทะเลาะเบาะแว้ง (สมัยก่อนรุ่นที่พวกเราเรียน มีแต่ผู้ชายล้วนๆ)
ก่อนพี้...พวกเราจะคุยกันไปเรื่อยเปื่อย หลังจากพี้ไปได้บ้อง-สองบ้อง ก็ฮัมเพลง กระท่อมกัญชา อย่างมีความสุข
“แดน..นี้มีต้นกัญชา...
ปกคลุมแน่นหนา
ใบกัญชาป่านี้สะพรั่ง
เวียงวังทอง
ก็ร้องกระท่อมพังพัง
ดีกว่าเวียงราชวัง
ไม่หวังจะแรมไกล
ฟังเสียงไฟ
ไหม้บ้องกัญชา
ช่างชวนสุขา
เป็นเพลงพา
กล่อมขวัญเราให้
ฟังเพลินดี
ดังปี่พระอภัย
มือป้องจับบ้องคู่ใจ
จะเป็นหรือตาย
ไม่ห่วงกังวล
เวียงวังทองหรือจะมาสู้
กระท่อมฉันอยู่
ประตูไม่หวังสักคน
มีกัญชา
สุขกว่ามีคู่กมล
ถึงหากฉันจน
ก็ยังสุขล้น
ไม่หวังใด..ปอง
มองเห็นไฟ
ไหม้บ้องเป็นควัน
ดังหนึ่งเมฆสวรรค์
มีตะเกียง
นั้นเหมือนจันทร์ส่อง
ยามจะนอน
กายก่อนประคอง
มีคู่ สุดรักคือบ้อง
ชวนให้ฉันปอง
คือ..บ้องกัญชา...”
เมื่อหอพักของสถาบันฯ ถูกยุบ เพื่อปรับปรุงให้เป็นห้องเรียน พวกเราจึงไปหาเช่าบ้านกันอยู่ ตามอัธยาศัย พวกผม 6 คน ได้มาเช่าบ้านใกล้ตลาด ริมคลองหัวตะเข้ แน่นอนว่า ช่วงพักในหอพัก ยังมีอาจารย์ฝ่ายปกครองคอยกำกับ ควบคุม มิให้พวกเรากระทำผิด ระเบียบ ผิดกฎหมาย บ่อยๆ ครั้งที่เราแอบพี้กัญชากัน เป็นเพราะเรามีต้นทางคอยดูว่า..... อาจารย์ฝ่ายปกครองจะเข้ามาตรวจจับความผิดของพวกเราเมื่อใด..... ช่วงที่ผมกับเพื่อนมาเช่าบ้านอยู่ เราค่อนข้างจะเป็นอิสระ ใครใคร่อยากทำอะไร..ก็ทำ ไม่ต้องคอยระแวด ระวังว่าจะต้องถูกหมายหัวจากอาจารย์ฝ่ายปกครองเรียกเข้าพบ เพื่อตั้งกรรมการสอบสวน การกระทำความผิดวินัยของสถาบัน ช่วงที่พักอยู่หอพัก เพียงแค่พวกเราแอบหนีเที่ยว หนีไปจีบสาวแค่ตลาดหัวตะเข้ ยังถูกตัดคะแนนความประพฤติครั้งละ 5 คะแนน หากพี้กัญชา ดื่มสุรา ถูกตัดคะแนนความประพฤติ ครั้งละ 20 คะแนน ทะเลาะวิวาทกับคนภายนอก อาจถึงขั้นพักการเรียนหรือไล่ออกไปเลย ซึ่งแต่ละเทอมมีนักศึกษาที่ถูกพักการเรียนและไล่ออกเฉลี่ยอย่างน้อย เทอมละสองถึงสามคน
ขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นของผมบางคน ที่มีบ้านอยู่ต่างจังหวัด (ภาคเหนือ) เมื่อปิดเทอมพวก เขาก็ได้เดินทางกลับภูมิลำเนา แต่ครั้นพอเปิดเรียน พวกเขาก็เดินทางกลับเข้ามากรุงเทพ เพื่อกลับมาเรียนตามปกติ หลายคนได้แอบซ่อนฝิ่นและผงขาว (บางคน) ได้ขี่จักรยานยนต์ทั้งขาไป-ขากลับ ด้วยระทางทางเกือบ 700 กม.โดยผ่านด่านตรวจหลายด่าน แต่ก็ผ่านมาได้โดยมิได้ถูกจับกุมใดๆ เมื่อมาถึงสถาบันฯ แล้ว เพื่อนผู้นำพายาเสพติดจากเมืองเหนือ ก็ไปกระซิบบอกต่อกับสมาชิกก๊วนเดียวกันว่า ใครสนใจ.ที่อยากจะมาทดลอง ของใหม่ ก็ให้ไปพบที่ (ลับ) เคยนัดพบ หลายคนที่ได้มาทดลองยาเสพติดตัวใหม่ ต่างก็ชื่นชอบความรุนแรงและความมึนเมาของยาเสพติดชนิดนั้นๆ หลังที่พวกเขาได้ทดลองเสพแล้วยาเสพติด ที่เอามาเมื่อหมดแล้วก็หมดกัน พวกเขาก็มิได้ขวยขวายหามาเพิ่มอีก
เป็นความโชคร้ายของผมเพียงคนเดียวในกลุ่ม ที่พักร่วมกันที่บ้านเช่าริมน้ำที่ตลาดหัวตะเข้ ที่สอบเข้าเรียนต่อในระดับ ปวส.ไม่ได้ ผมจึงต้องระหกระเหินไปอยู่บ้านไอ้โจ้ และต้องคอยปกปิดเรื่องไม่ดีที่ไอ้โจ้ ได้กระทำไว้กับแม่บ่อยๆ จนวันที่แม่บ้าน เอาเสื้อผ้าของไอ้โจ้กับผมไปซัก จึงพบเฮโรอีน ในขอบกางเกงยีนที่ไอ้โจ้ซ่อนไว้
“ไม่ใช่ของหนู นะแม่” ไอ้โจ้ แก้ตัวกับแม่
“ไม่ต้องแก้ตัวเลย โจ้ ยอมสารภาพกับแม่ มาเสียดีๆ” แม่พูด
“ของเพื่อนเค้า มันฝากน่ะ ไม่เชื่อถาม ไอ้ขลุ่ยก็ได้” ไอ้โจ้ แก้ตัว ทั้งๆ ที่ มีของกลางในกางเกงของตน
“ขลุ่ย นี่ก็เหมือนกัน คอยปกปิด และคอยแก้ตัวให้เพื่อนตลอด เสียแรงที่แม่ไว้วางใจ” แม่พูด ด้วยความน้อยใจและโกรธ ผมสะอึก..พูดอะไรไม่ออก ได้แต่นิ่ง
....................................................................................................................
ณ ตอนนี้ไอ้โจ้ ต้องตกเป็นจำเลย และจะต้องอยู่ในความดูแลของพี่ๆ แล้ว ผมได้ผันตัวเองมาทำงานที่สหกรณ์แปดริ้วแต่ยังคงแวะมาเยี่ยมไอ้โจ้ เฉลี่ยเดือนละครั้ง ไอ้โจ้ ยังคงมาเรียนหนังสือ ที่คณะเกษตร ที่ลาดกระบังตามปกติ ด้วยที่เขาติดยาอย่างหนักแล้ว จึงหนีไม่พ้น ที่จะต้องแอบซื้อยาเสพติดมาเสพ และวันหนึ่งโจ้ ก็ประสบอุบัติเหตุ รถมอเตอร์ไซด์ล้มอย่างรุนแรง จนเป็นอัมพาตไปในที่สุด.... ไอ้โจ้ ต้องหยุดรักษาตัวอยู่นานเป็นปีๆ ผมคงมาเยี่ยมไอ้โจ้เช่นเคย ผมจะทิ้งเพื่อนคนนี้ไปได้อย่างไร ...หากไม่มีไอ้โจ้ช่วยเหลือผมตั้งแต่พักด้วยกันในหอพัก และย้ายมาเช่าบ้านที่ริมน้ำตลาดหัวตะเข้ จนล่าสุดได้มาพักในโรงสี แล้วจะมีผมในวันนี้ ได้อย่างไร.. บุญคุณของเพื่อนมีมากมาย ยากที่จะพูดถึงได้หมด ไอ้โจ้ ต้องพักการเรียนไปเป็นปีๆ พ่อกับแม่ ต้องพาไอ้โจ้ไปรักษาตัวทั้งหมอ-ปัจจุบัน หมอโบราณ.. ที่ไหนที่ได้ยินว่ามีหมอรักษาเก่งๆ จะใกล้หรือไกล. พ่อกับแม่ต้องพาไปรักษาทุกหนแห่ง นอกจากนั้นพ่อและแม่และ ตัวไอ้โจ้เอง ก็ยังบนบานศาลกล่าวว่า “หากตัวเองหายจากเป็นอัมพาต จะเลิกเสพและไม่หันกลับมายุ่งกับสิ่งเหล่านี้อีกเลย”
“ เจ้าประคู๊น หากลูกอิชั้น หายป่วย กลับมาเป็นปกติดังเดิม อิชั้นจะแก้บนด้วยการจุดประทัดหมื่นนัด” แม่ไอ้โจ้บนบานไว้ กับเสด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
ปาฎิหารย์เกิดแล้ว เมื่อไอ้โจ้ กลับมาหายเป็นปกติดังเดิม.. ทุกคนในบ้านดีอกดีใจ ไอ้โจ้ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เขาได้กลับเข้ามาเรียนใหม่อีกครั้ง แม้จะช้าและเสียเวลาไปบ้าง แต่เพราะสิ่งแวดล้อม และความเป็นคนง่ายๆ ที่ไม่ค่อยขัดใจเพื่อน ไอ้โจ้ก็เลยหวนกลับ ไปเสพยาอีกครั้ง ครั้งนี้ถึงกับต้องไปรักษาตัวที่ถ้ำกระบอกอยู่หลายเดือนอาจเป็นเพราะเขา ผิดคำสาบานไว้ ไอ้โจ้ จึงประสบอุบัติเหตุ..อีกครั้ง เมื่อไปเที่ยวงานการประกวดวงสตริงคอมโบ้ ที่มหาวิทยาลัยย่านหัวหมาก ครั้งนี้ เขาต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งและทรุดหนักกว่าเดิม และต้องผ่ากะโหลกศีรษะด้วย
.............................................................................
แม้นผมจะมาทำงานที่ลำปางแล้วก็ตาม .....แต่ทุกครั้ง ที่ผมเข้ามากรุงเทพ จะต้องแวะนอนค้างคืน นั่งดื่มเบียร์กับไอ้โจ้ นี่คือความจริงใจ ที่ผมมีต่อเพื่อนคนนี้ไม่เปลี่ยนแปลง ทุกคนในบ้านต่างรู้ถึงจิตใจที่เรามีต่อกันคือ เราคือเพื่อนตาย ที่ไม่ทิ้งกัน หลายๆ ครั้งที่คุยกับไอ้โจ้ เขารู้สึกน้อยใจว่าเพื่อนๆ ที่เคยสนิท ไม่เคยแวะไปเยี่ยมเยียนเขาเลย ผมก็ได้แต่ปลอบใจว่า
“ เพื่อนคงไม่ว่าง และคงยุ่งกับการหน้าที่การงาน กระมัง” ผมพูดแก้ต่างให้เพื่อนคนอื่นๆ โจ้ คล้อยตามคำพูดของผม และทำใจได้
ระยะหลัง หากผมมาเยี่ยมโจ้ ผมจะพาคนรักของผม มาแนะนำให้ไอ้โจ้ได้รู้จัก
“ยกให้กู ได้มั้ย” ไอ้โจ้ กระเซ้าผม
“ได้สิเพื่อน เพื่อเพื่อนยังไง ก็ได้” ผมตอบ
ครั้นช่วงขากลับ จากการเยี่ยมไอ้โจ้ ผมถูกหยิก ซะจนเนื้อเขียว แค่พูดเล่น ยังขนาดนี้... ถ้าพูดจริงจะขนาดไหน ผมบอกกับแฟนสาวว่า ต้องการให้เพื่อนไม่เครียด นานๆ เราจะได้เจอกันสักครั้ง เธอจึงเข้าใจ
ช่วงหลังๆ ผมไม่ค่อยมีโอกาสเข้ามากรุงเทพ แต่ก็ได้มีโอกาสโทรศัพท์ มาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเพื่อน และเมื่อถึงช่วงใกล้ปีใหม่ ผมจะส่ง ส.ค.ส มาให้ไอ้โจ้ พร้อมครอบครัว ผมมาทราบข่าวภายหลังว่า ไอ้โจ้ เสียชีวิต เมื่อปี 2527- 28 ทางบ้านที่โรงสีไม่ได้แจ้งให้ผมทราบ ผมจึงไม่ได้ลงมาร่วมงานฌาปนกิจเพื่อน ก็ต้องขอโทษ เพื่อนรักด้วย... การที่ผมเขียนและบอกเล่าเรื่องนี้ ก็เพื่อต้องการจะสื่อและเป็นวิทยาทานให้เด็กและเยาวชน ได้รับรู้ถึงโทษภัยที่ร้ายแรงที่ไม่สมควร ที่จะทดลอง หรือเอาอย่างเพื่อนๆคนอื่น ดังที่จั่วหัวเรื่องไปแล้วคือ แม้จะสายไปแล้ว ผมก็... ขอโทษครับแม่ด้วย ที่ไม่บอกความจริง ว่าไอ้โจ้ ได้เสพเฮโรอีน มาตั้งนานแล้ว
จริงๆแล้ว หากเรื่องนี้ผมตัดไฟเสียแต่ต้นลม คือบอกเล่า บอกเรื่องจริงกับแม่ ตั้งแต่แรกๆ มันอาจจะไม่ถึงกับทำให้ไอ้โจ้ ติดยา จนขาดไม่ได้ .และเลยเถิดมาจนกระทั่งจบชีวิตลง อย่างน้ำพุ ที่พวกเราก็ทราบกันดี
“ ผมขอโทษครับ แม่”...
ขลุ่ย บ้านข่อย ๑๖- ๗ /๖๕
*ระบบโซตัส (SOTUS) แบ่งออกตาม 5 ตัวอักษร ได้แก่
Seniority คือ การเคารพผู้อาวุโส
Order คือ การปฏิบัติตามระเบียบวินัย
Tradition คือ การปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณี
Unity คือ การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือความสามัคคี
Spirit คือ การเสียสละกายและใจ มีน้ำใจเพื่อส่วนรวม
ที่มาของระบบโซตัส (SOTUS) ในไทยนั้น ไม่แน่ชัด ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ thetsis พบครั้งแรกในช่วงสงครามเย็น ในช่วงที่ไทยมีการก่อตั้งมหาวิทยาลัย ส่งนักเรียนไปศึกษาต่อต่างประเทศในระดับปริญญาตรีในสหรัฐอเมริกา ที่กลับมาพร้อมกับความคิดในการรับน้องใหม่ ซึ่งประกอบไปด้วยระบบการว๊าก และการลงโทษ โดยสถาบันแห่งแรกที่มีการนำโซตัส มาใช้นั้น คือ “โรงเรียนป่าไม้แพร่” ที่มีการผลิตนักเรียนเพื่อเข้าเป็นนิสิตของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ต่อมาโรงเรียนป่าไม้แพร่ พัฒนากลายเป็นมหาวิทยาลัยแม่โจ้)
หรือจากที่มีการพบ โคลงโซตัส ซึ่งเป็นโคลงสี่สุภาพที่พบในหนังสือเฟรชชี่รุ่นโบราณ จากห้องสมุดภาควิชาวิศวกรรมโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้เชื่อว่า เป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นต้นกำเนิดของระบบโซตัสขึ้นมาครั้งแรก
ต้นกำเนิดระบบโซตัส (SOTUS)
ตามข้อมูลจากบล๊อก Stardee มีผู้สันนิษฐานไว้ว่า ระบบโซตัสพัฒนามาจากระบบอาวุโสในโรงเรียนประจำของอังกฤษ อาจารย์จะแต่งตั้งนักเรียนชั้นปีสูงๆ ที่มีความประพฤติดี มาเป็นผู้ช่วยอาจารย์ (Fag, Prefect หรือ Perfect) เพื่ออบรมสั่งสอนรุ่นน้อง
ตำแหน่งพรีเฟกต์ ยังมีสิทธิพิเศษในการตักเตือน หักลบคะแนนพฤติกรรมรุ่นน้อง แถมยังมีห้องนั่งเล่น ห้องอาบน้ำส่วนตัวอีกต่างหาก ซึ่งอำนาจและสิทธิพิเศษเหนือคนอื่นๆ ในรูปแบบเดียวกันนี้ปรากฎให้เห็นในกลุ่มรุ่นพี่ที่จัดกิจกรรมรับน้องในไทยเช่นกัน
ระบบโซตัส (SOTUS) เป็นที่นิยมในไทยมายาวนาน เนื่องจากโครงสร้างของสังคมไทยยังอยู่ในรูปแบบชนชั้น การมีพี่มีน้อง เคารพนอบน้อมผู้อาวุโสกว่า ด้วยโครงสร้างรูปแบบนี้ จึงทำให้ระบบโซตัส (SOTUS) เป็นกิจกรรมที่ไม่เคยหายไปจากกิจกรรมการรับน้องเลย
...อย่างไรก็ตาม... เมื่อเวลาผ่านไป สังคมมีความตื่นตัวเรื่องความเท่าเทียม ความเสมอภาค และเสรีภาพ จึงทำให้ระบบโซตัสในปัจจุบัน เริ่มไม่ได้รับความนิยม และล่าสุดถึงกับยกเลิกไปในหลายๆ มหาวิทยาลัย
ที่มาข้อมูลระบบโซตัส : https://www.prachachat.net/education/news-947708
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น